วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ภาษาเยอรมัน

การเขียนคำทับศัพท์ภาษาเยอรมัน

ข้อมูลในหน้านี้อาจมีการดัดแปลงหลายครั้งตามนโยบายวิกิพีเดีย สำหรับข้อมูลต้นฉบับสามารถดูได้ที่ เว็บไซต์ราชบัณฑิตยสถาน
การเขียนคำทับศัพท์ตามระบบราชบัณฑิตฯ
การเขียนคำทับศัพท์ภาษาเยอรมันนี้เป็นหลักการทั่วไปที่กำหนดตามราชบัณฑิตยสถาน สำหรับศัพท์บางคำที่มีการอ่านออกเสียงผิดไปจากปกติ ให้ถือการทับศัพท์ตามเสียงของคำนั้น
เนื้อหา1 หลักทั่วไป
2 ตารางเทียบเสียงสระภาษาเยอรมัน
3 ตารางเทียบเสียงพยัญชนะภาษาเยอรมัน
4 หมายเหตุ
5 ดูเพิ่ม
6 แหล่งข้อมูลอื่น
//

[แก้] หลักทั่วไป
1. สระ ให้ถอดตามการออกเสียงในพจนานุกรมภาษาเยอรมัน โดยเทียบเสียงสระภาษาไทยตามตารางเทียบเสียงสระภาษาเยอรมัน เช่น
Vater = ฟาเทอร์
Berg = แบร์ก
2. พยัญชนะ ให้ถอดเป็นพยัญชนะไทยตามหลักเกณฑ์ในตารางเทียบเสียงพยัญชนะภาษาเยอรมัน เช่น
Karl = คาร์ล
Boot = โบท
3. สระที่ซ้อน 2 ตัว หรือสระที่มี h ตาม จะมีเสียงยาว เช่น
Haar = ฮาร์
Tee = เท
Lohn = โลน
Stuhl = ชตูล
4. สระที่ตามด้วยพยัญชนะซ้อน เป็นเสียงสั้น เช่น
Mann = มันน์
Mutter = มุทเทอร์
5. สระ e เมื่ออยู่ท้ายคำ ถอดเป็นเสียง เออ เช่น
Rose = โรเซอ
6. ตัวอักษรภาษาเยอรมันในการเขียนตัวย่อ ใช้ดังนี้
A = อา
B = เบ
C = เซ
D = เด
E = เอ
F = เอฟ
G = เก
H = ฮา
I = อี
J = ยอท
K = คา
L = เอล
M = เอ็ม
N = เอ็น
O = โอ
P = เพ
Q = คู
R = แอร์
S = เอส
T = เท
U = อู
V = เฟา
W = เว
X = อิกซ์
Y = อึบซิลอน
Z = เซท
7. หลักเกณฑ์อื่น ๆ เช่น การใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต ไม้ไต่คู้ เครื่องหมายวรรณยุกต์ ให้ถือตามหลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ

ตารางเทียบเสียงสระภาษาเยอรมัน
สระ
เสียง
ตัวอย่างคำ

หมายเหตุ
A
a
อาอะ (ถ้ามีเสียงสะกด)
Vater = ฟาเทอร์Hans = ฮันส์
aa, ah
อา
Haar = ฮาร์Jahr = ยาร์
ai, ay
ไอ
Mai = ไมBayreuth = ไบรอยท์
ar
อาร์
Karl = คาร์ล
au
เอา
auch = เอาค์
ä [1]
แอเอ
Bär = แบร์Länder = เลนเดอร์
äu
ออย
Häuser = ฮอยเซอร์
สระ
เสียง
ตัวอย่างคำ
หมายเหตุ
E
e
เอ
Bett = เบทท์
เออ (เมื่ออยู่ท้ายคำ)
Liebe = ลีเบอ
el, en เมื่ออยู่ท้ายคำใช้ เอิล, เอิน ตามลำดับเช่น Kassel = คัสเซิล, fahren = ฟาเริน
ee, eh
เอ
Tee = เทgeht = เกท
ei, ey
ไอ
Rhein = ไรน์Weyrauch = ไวเราค์
er
แอร์
Berg = แบร์ก
เออร์ (ไม่เน้น)
Vater = ฟาเทอร์
eu
ออย
neu = นอย
สระ
เสียง
ตัวอย่างคำ
หมายเหตุ
I
i
อีอิ (เมื่อมีเสียงสะกด)
lila = ลีลาKind = คินด์
ie
อี
Wien = วีน
ier
เอียร์
Trier = เทรียร์
ir
เอียร์
Wir = เวียร์
สระ
เสียง
ตัวอย่างคำ
หมายเหตุ
O
o, oo, oh
โอ
Brot = โบรทBoot = โบทLohn = โลน
o
ออ
Gott = กอทท์
or
ออร์
dort = ดอร์ท
ö [1]
เออ
öl = เอิล
สระ
เสียง
ตัวอย่างคำ
หมายเหตุ

U
u
อูอุ (เมื่อมีเสียงสะกด)
Schule = ชูเลอButter = บุทเทอร์
uh
อู
Stuhl = ชตูล
ur
อูร์
Altenburg = อัลเทนบูร์ก
ü [1]
อืออึ (เมื่อมีเสียงสะกด)
Lübeck = ลือเบคMüller = มึลเลอร์
üh
อือ
Mühldorf = มืลดอร์ฟ
ür
เอือร์
Hürth = เฮือร์ท
สระ
เสียง
ตัวอย่างคำ
หมายเหตุ
Y
Y
อืออึ (เมื่อมีเสียงสะกด)
Physik = ฟือซิคNymphenburg = นึมเฟนบูร์ก

[แก้] ตารางเทียบเสียงพยัญชนะภาษาเยอรมัน
พยัญชนะ
พยัญชนะต้น
พยัญชนะสะกด และการันต์
หมายเหตุ
เสียง
ตัวอย่างคำ
เสียง
ตัวอย่างคำ
b

Bahn = บาน

Grab = กราบ
c (ตามด้วย a, o, u)

Coburg = โคบูร์ก
-
-
c (ตามด้วย e, i, y)

Celsius = เซลซีอุส
-
-
ch

Charlottenburg = ชาร์ลอทเทนบูร์ก

Fechter = เฟชเทอร์Emmerich = เอมเมอริชErnst Blöch = แอนสท์ เบลิช [เบฺลิช]
ตัวสะกด ถ้า ch ตามหลัง e, i, ö ออกเสียง [ช]

chronik = โครนิค

Bach = บาคdoch = ดอคBuch = บูค
ตัวสะกด ch ตามหลัง a, o, u
ck
-
-

Deck = เดค
ck เมื่อเป็นตัวสะกดและเป็นพยัญชนะต้น ให้ใช้ คค เช่น Zucker = ซุคเคอร์
d

dumm = ดุมม์

Gold = โกลด์
f

Frau = เฟรา

Hof = โฮฟ
g

Hagen = ฮาเกิน

Tag = ทาก
g (ที่ออกเสียง จ)

Genie = เจนี
จ (ตามหลัง i)
fertig = แฟร์ทิจ
h

Hamburg = ฮัมบูร์ก
-
-
h เมื่อตามหลังทำให้สระมีเสียงยาว ถือเป็นส่วนหนึ่งของสระไม่ต้องถอดเป็นพยัญชนะไทย เช่น Gütersloh = กือเทอร์สโล
j

Jahr = ยาร์
-
-
k

Karl = คาร์ล

Musik = มูซิค
kn
คน
Knoten = คโนเทิน
-
-
l

Leipzig = ไลพ์ซิก

Kassel = คัสเซิล
m

München = มึนเชิน

Dom = โดม
n

Nonne = นอนเนอ

Hans = ฮันส์
ng
-
-

Jung = ยุงsingen = ซิงเงิน
ng เมื่อเป็นตัวสะกดและเป็นพยัญชนะต้นของพยางค์ต่อไปให้ใช้ งง
nk
-
-
งค์
Dank = ดังค์
p

Passau = พัสเซา

Knipsen = คนิพเซิน
pf
พฟ
Pflanze = พฟลันเซอ
พฟ์
Knopf = คนอพฟ์
ph

Photo = โฟโท

Philosoph = ฟีโลโซฟ
pn
พน
Pneumatisch = พนอยมาทิช
-
-
ps
พซ
Psalm = พซาล์ม
-
-
qu
คว
Quantität = ควันทิเทท
-
-
r

Rose = โรเซอ

spar = ชปาร์
s

Sohn = โซน

Haus = เฮาส์
sch

schön = เชิน

Kirsch = เคียร์ช
sp (เมื่ออยู่ต้นพยางค์)
ชป
Sport = ชปอร์ท
-
-
st (เมื่ออยู่ต้นพยางค์)
ชต
Stuhl = ชตูล
-
-
ß (= ss)
-
-
สส
Kuß = คุสส์
sz

Szene = เซเนอ
-
-
t

tun = ทูน

Tat = ทาท
-tion = ซิโยน เช่น Nation = นาซิโยน
th

Thüringen = เทือริงเงิน

Baireuth = ไบรอยท์
v

von = ฟอน

Motiv = โมทิฟ
v ออกเสียง ว เมื่อเป็นคำยืมมาจากภาษาต่างประเทศ เช่น Privat = พริวาท
w

Wilhelm = วิลเฮล์ม
-
-
x

Xylophon = ซือโลโฟน
กซ
Box = บอกซ์
y

Yak = ยัค
-
-
z

Zahl = ซาล

Balz = บัลซ์
z เมื่อเป็นตัวสะกดและพยางค์ต้นของพยางค์ต่อไปใช้ ทซ เช่น Schwarze = ชวาร์ทเซอ

หมายเหตุ
1.0 1.1 1.2 เครื่องหมาย อุมเลาท์ ¨ อาจใช้ e แทนได้ เช่น ä = ae, ö = oe, ü = ue

ดูเพิ่ม
ภาษาเยอรมัน
การเขียนคำทับศัพท์

แหล่งข้อมูลอื่น
การเขียนคำทับศัพท์ภาษาเยอรมัน จากเว็บไซต์ราชบัณฑิตยสถาน
หมวดหมู่: การทับศัพท์ ภาษาเยอรมัน

พระนเรศวรมหาราช

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

ข้อมูลส่วนพระองค์
พระปรมาภิไธย
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒
วันพระราชสมภพ
พ.ศ. ๒๐๙๘
วันสวรรคต
๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘
พระอิสริยยศ
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระราชบิดา
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
พระราชมารดา
พระวิสุทธิกษัตริย์
การครองราชย์
ราชวงศ์
ราชวงศ์สุโขทัย
ทรงราชย์
๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ - ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๑๔๘
ระยะเวลาครองราชย์
15 ปี
รัชกาลก่อนหน้า
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช
รัชกาลถัดมา
สมเด็จพระเอกาทศรถ
พระบาทสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๒ (พระนเรศวรมหาราช) (พ.ศ. ๒๐๙๘- ๒๕ เมษายพ.ศ. ๒๑๔๘) พระนามเดิมว่า พระองค์ดำ พระราชโอรสใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) พระองค์เสด็จพระราชสมภพที่เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระสุพรรณกัลยาทรงมีพระอนุชาคือสมเด็จพระเอกาทศรถ(องค์ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย พระนามของพระองค์ปรากฏในลายลักษณ์อักษรหลายฉบับ เช่น พระนเรศ วรราชาธิราช พระนเรสส องค์ดำ จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าพระนาม นเรศวรได้มาจากที่ใด สันนิษฐานเบื้องต้นว่า เพี้ยนมาจาก สมเด็จพระนเรศ วรราชาธิราช เป็น สมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช
เนื้อหา1 พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี
2 ดำรงยศเป็นพระมหาอุปราช
3 ยุทธหัตถี
4 สวรรคต
5 พระราชกรณียกิจ
6 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในวัฒนธรรมร่วมสมัย
7 ดูเพิ่ม
8 แหล่งข้อมูลอื่น
//

พระราชประวัติเมื่อทรงพระเยาว์กับชีวิตและการศึกษาในหงสาวดี
ตลอดระยะเวลาในวัยเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดี และทำให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราชหงสาวดีไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองได้ทรงขอพระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดี ทำให้พระองค์ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนตั้งแต่มีพระชนม์มายุเพียง ๙ พรรษา
นอกจากพระองค์แล้วยังมีองค์ประกันจากเมืองอื่น ๆ ที่เป็นเมืองขึ้นของหงสาวดีเป็นจำนวนมาก พระเจ้าบุเรงนองนั้นทรงให้เหล่าองค์ประกันได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอย่างดี พระนเรศวรทรงใช้เวลา ๘ ปีเต็มในหงสาวดีศึกษายุทธศาสตร์ของพม่า พระองค์ทรงศึกษาวิชาศิลปศาสตร์ และวิชาพิชัยสงคราม ทรงนิยมในวิชาการรบทัพจับศึก พระองค์ทรงมีโอกาสศึกษา ทั้งภายในราชสำนักไทย และราชสำนักพม่า มอญ และได้ทราบยุทธวิธีของชาวต่างชาติต่าง ๆ ที่มารวมกันอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นอย่างดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพม่าเอง ทรงนำหลักวิชามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับเหตุการณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำศึกได้เป็นเลิศ ดังเห็นได้จากการสงครามทุกครั้งของพระองค์ ยุทธวิธีที่ทรงใช้ ได้แก่ การใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะคนจำนวนมาก และยุทธวิธีการรบแบบกองโจร พระองค์ทรงนำมาใช้ก่อนจอมทัพที่เลื่องชื่อในยุโรป นอกจากนั้น หลักการสงครามที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เช่น การดำรงความมุ่งหมาย หลักการรุก การออมกำลัง และการรวมกำลัง การดำเนินกลยุทธ ความเด็ดขาดในการบังคับบัญชา การระวังป้องกัน การจู่โจม ฯลฯ พระองค์ก็ทรงนำมาใช้อย่างเชี่ยวชาญ และประสบผลสำเร็จอย่างงดงามมาโดยตลอด เนื่องจากการที่พระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะองค์ประกันทำให้ทรงมีความกดดันสูงจากมังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึงทรงมีแรงผลักดันที่จะกอบกู้อิสรภาพให้กับบ้านเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองค์กับมังกะยอชวา เป็นต้น รวมทั้งการเหยียดหยามว่าเป็นเชลย จากพวกพม่าด้วย

ดำรงยศเป็นพระมหาอุปราช

การประกาศอิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2127 (ภาพจากภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2550)
หลังจากที่พระเจ้าบุเรงนองตีกรุงศรีอยุธยาแตกเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่ำ และได้สถาปนาสมเด็จพระมหาธรรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะประเทศราชของหงสาวดีต่อไป หลังจากนั้น พระนเรศได้หนีกลับมาไทยโดยที่บุเรงนองยินยอมด้วยอันเนื่องมาจากพระสุพรรณกัลยาได้ขอไว้ โดยที่บุเรงนองยินยอม หลังจากที่พระองค์ดำกลับมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชาได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า พระนเรศวร และโปรดเกล้าฯให้เป็นพระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงปกครองเมืองอย่างดีและทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของกรุงศรีอยุธยา

ยุทธหัตถี
นับตั้งแต่สมเด็จพระนเรศวรประกาศอิสรภาพเป็นต้นมา หงสาวดีได้เพียรส่งกองทัพเข้ามาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง เมื่อสมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๓ พระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๑๓๓ เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ทรงพระนามว่า สมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๒ และโปรดเกล้า ฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มีศักดิ์เสมอพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
ตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงกอบกู้กรุงศรีอยุธยาจากหงสาวดี และได้ทำสงครามกับอริราชศัตรูทั้งพม่าและเขมร จนราชอาณาจักรไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ขยายพระราชอาณาเขตออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาลกว่าครั้งใดในอดีตที่ผ่านมา งานสงครามในรัชสมัยของพระองค์ ทั้งในดินแดนไทยและดินแดนข้าศึก ได้ชัยชนะทุกครั้ง ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนำทัพ ทรงริเริ่มนำยุทธวิธีแบบใหม่มาใช้ในการทำสงคราม และเปลี่ยนแนวความคิดจากการตั้งรับมาเป็นการรุก และริเริ่มการใช้วิธีรบนอกแบบ

ภาพแกะสลักนูนต่ำจำลองเหตุการณ์ยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวร ณ ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี
การสงครามกับพม่าครั้งสำคัญที่ทำให้พม่าไม่กล้ายกทัพมารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลาเกือบสองร้อยปีคือ สงครามยุทธหัตถี เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๓๕ นั่นคือเมื่อหงสาวดีนำโดยพระมหาอุปราชามังสามเกียดยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง สมเด็จพระนเรศวรก็นำทัพออกไปจนปะทะกันที่หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี บ้างก็ว่าจังหวัดกาญจนบุรี สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาจนกระทั่งสามารถเอาพระแสงง้าวฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้างนั่นเอง

สวรรคต
พ.ศ. ๒๑๓๗ พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงก็ให้พระเจ้าแปรมาตีกรุงศรีอยุธยาแต่ก็แตกทัพกลับไป พ.ศ. ๒๑๔๒ เสด็จออกไปตีกรุงหงสาวดี พระเจ้าหงสาวดีหนีไปเมืองตองอู กองทัพอยุธยาตามไปถึงเมืองตองอูแต่ขาดเสบียง พ.ศ. ๒๑๔๗ ยกกองทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นายออกจากกรุงศรีอยุธยาไปตีกรุงอังวะ ผ่านทางเมืองเชียงใหม่ โดยแรมทัพอยู่ที่เมืองเชียงใหม่เป็นเวลา ๑ เดือน ระดมทหารในดินแดนล้านนาสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ นาย และทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเอกาทศรถเป็นทัพหน้าออกเดินทางไปรับไพร่พลทหารล้านนาที่เมืองฝาง(อำเภอฝาง เชียงใหม่)หลังจากนั้นกองทัพหลวงจึงกรีฑาทัพออกจากเมืองเชียงใหม่ไปยัง เมืองนายและกรุงอังวะ ครั้นกองทัพหลวงเดินทัพอยู่ระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำสาละวิน ครั้นถึง เมืองหลวง หรือเมืองห้างหลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง อันเป็นเมืองขึ้นของเมืองเชียงใหม่และเป็นเมืองอยู่ชายพระราชอาณาเขตในสมัยนั้น เมื่อปลายเดือน ๕ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๑๔๘ ได้เสด็จประทับแรมอยู่ ณ ตำบลทุ่งดอนแก้ว(ขณะที่กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถอยู่ที่เมืองฝางหรืออำเภอฝาง เชียงใหม่) เกิดประชวรเป็นหัวระลอกขึ้น (บ้างว่าถูกตัวสัตว์พวกแมลงมีพิษต่อย) ที่พระพักตร์แล้วเลยเป็นบาดพิษจนเสด็จสวรรคต ณ[[เมืองหลวงหรือเมืองห้างหลวงหรือเมืองห่างหลวงหรือ เมืองหางหลวง]] เมื่อวันจันทร์ เดือน ๖ ขึ้น ๘ ค่ำ พ.ศ. ๒๑๔๘ เรื่องวันสวรรคตนี้มีรายละเอียดกล่าวต่างกัน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวว่า เสด็จสวรรคตวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลาชายแล้ว ๒ บาท ปีมะเส็ง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางประวัติศาสตร์คำนวณแล้วตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ ในหนังสือ A History of Siam ของ W.A.R. Wood กล่าวว่าสวรรคตวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๖๐๕ (พ.ศ. ๒๑๔๘) พระชันษาได้ ๕๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี

พระราชกรณียกิจ
พ.ศ. 2113 เสด็จออกร่วมรบกับทหารโดยขับไล่กองทัพเขมรได้สำเร็จ
พ.ศ. 2114 ได้รับสถาปนาให้ปกครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา
พ.ศ. 2117 เสด็จไปรบที่เวียงจันทน์ เผอิญทรงประชวรเป็นไข้ทรพิษจึงเสด็จกลับ
พ.ศ. 2121 ทรงทำสงครามขับไล่พระยาจีนจันตุออกไปจากกรุงศรีอยุธยา
พ.ศ. 2127 ทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง และกวาดต้อนคนไทยกลับพระนคร
พ.ศ. 2127-พ.ศ. 2130 พม่ายกกองทัพมาตีไทยถึง ๔ ครั้ง แต่ถูกไทยตีแตกพ่ายกลับไป
พ.ศ. 2133 ทรงเสด็จครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชนมายุ ๓๕ พรรษา
พ.ศ. 2135 ทรงทำสงครามยุทธหัตถี จนมังกะยอชะวา สิ้นพระชนม์
พ.ศ. 2136 ทรงยกกองทัพไปตีเขมรและจับพระยาละแวกทำพิธีปฐมกรรม
พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2141 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงหงสาวดี ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒
พ.ศ. 2148 ทรงกรีฑาทัพไปตีกรุงอังวะ โดยยกทัพหลวง ๑๐๐,๐๐๐ นาย ออกจากอยุธยา ไปทางเมืองเชียงใหม่ และแรมทัพในเชียงใหม่ ๑ เดือน เพื่อรอการระดมทหารล้านนาเข้าสมทบอีก ๑๐๐,๐๐๐ คนเมื่อยกทัพหลวงออกจากเมืองเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปยัง เมืองนาย ครั้นกรีฑาทัพช่วงระหว่างเมืองเชียงใหม่กับแม่น้ำสาละวิน และไปถึงเมืองหลวง หรือเมืองห้างหลวง หรือเมืองห่างหลวง หรือเมืองหางหลวง ก็ทรงพระประชวรโดยเร็วพลัน เป็นหัวระลอกขึ้นที่พระพักตร์ และเสด็จสวรรคต ณ เมืองหลวง ตำบลทุ่งดอนแก้ว ตรงกับวันจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง ซึ่งตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๕ เมษายน ๒๑๔๘ พระชนมายุ ๕๐ พรรษา ครองราชย์สมบัติได้ ๑๕ ปี[1]

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชในวัฒนธรรมร่วมสมัย





พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี
ตราประจำจังหวัดของไทยที่มีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดตาก และจังหวัดหนองบัวลำภู
มีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของสมเ็ด็จพระนเรศวรมหาราชในหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ศาลสมเด็็จพระนเรศวรมหาราชที่ริมหนองบัวลำภู ในจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นต้น
มีการนำพระนามของสมเด็จพระนเรศวรมหาราขไปตั้งเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยนเรศวร และค่ายทหารต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น ค่ายนเรศวร ที่จังหวัดลพบุรี ค่ายนเรศวรมหาราช ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนทางกรมตำรวจได้นำพระนามของพระองค์มาตั้งเป็นชื่อค่ายตำรวจตระเวนชายแดนที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรีว่า "ค่ายนเรศวร"้ ด้วยเช่นกัน
ชาวไทยนิยมนำหุ่นรูปไก่ชนพันธุ์เหลืองหางขาวไปบนบานกับพระบรมรูปสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพราะเชื่อกันว่าเป็นไก่พันธุ์เดียวกับตัวที่เอาชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาแห่งหงสาวดีได้
ในประเทศไทยได้มีการนำพระราชประวัติมาสร้างเป็นภาพยนตร์ 2 ครั้ง ครั้งแรก ใช้ชื่อว่า มหาราชดำ ในปี พ.ศ. 2522 และครั้งที่ 2 ใช้ชื่อว่า ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในปี พ.ศ. 2550
เคยมีการสร้างละครเรื่อง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อ พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 และได้รับรางวัลโทรทัศน์ทองคำในปีนั้นถึง 5 รางวัล[2] ภายหลังมีการนำละครเรื่องนี้มาฉายใหม่ทางช่อง สทท.11 อีกครั้ง (ประมาณ พ.ศ. 2540)
ไม้ เมืองเดิม ได้นำเหตุการณ์ในสมัยนี้ไปใช้เป็นฉากในนวนิยายเรื่อง ขุนศึก ซึ่งตัวเอกของเรื่องคือ เสมา ทหารในสมัยสมเด็จพระนเรศวรซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นช่างตีเหล็ก นวนิยายเรื่องนี้ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์เช่นกัน
มีการนำพระราชประวัติของพระองค์ไปเขียนเป็นหนังสือการ์ตูนอยู่หลายครั้ง เช่น มหากาพย์กู้แผ่นดิน ผลงานของมนตรี คุ้มเรือน เป็นต้น
ได้มีการสร้างตำนานสมเด็จพระนเรศวรอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งใช้ชื่อว่า กษัตริยา ควบคู่กับ มหาราชกู้แผ่นดิน เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระชนมายุครบ 72 พรรษา ใน พ.ศ. 2547โดยบริษัท กันตนา จำกัด เป็นผู้ผลิตรายการ ออกฉายทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ในช่วงปี พ.ศ. 2545-พ.ศ. 2546

ภาวะโลกร้อน

  • ปรากฏการณ์โลกร้อน
    เว็บย่อ: th.wikipedia.org/wiki/GW

    บทความนี้ถูกล็อกเนื่องจากถูกก่อกวนหลายครั้งติดต่อกัน การแก้ไขจากผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน หรือผู้ใช้ใหม่ไม่สามารถทำได้คุณสามารถเสนอข้อความเพื่อปรับปรุงบทความ หรือขอให้ยกเลิกการป้องกันได้ในหน้าอภิปราย อย่างไรก็ตามบทความนี้สามารถแก้ไขได้ตามปกติสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    อุณหภูมิเฉลี่ยที่ผิวโลก ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1860-1990
    ปรากฏการณ์โลกร้อน หรือ สภาวะโลกร้อน (global warming) คือปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกและผืนมหาสมุทรสูงขึ้น โดยมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ เป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ
    ปรากฏการณ์โลกร้อนถือเป็นผลพวงจากการมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นในบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุให้รังสีความร้อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศเข้ามาถูกกักไว้ในโลกโดยไม่สามารถสะท้อนกลับออกไปได้ หรือที่เรียกว่าภาวะเรือนกระจก การเกิดขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากกระบวนการเผาไหม้ของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล อาทิ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน เป็นต้น ทั้งจากกิจกรรมการขนส่งและการผลิตกระแสไฟฟ้า แนวทางหนึ่งของการลดปริมาณการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือ ลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น อาทิ พลังงานชีวมวล พลังงานน้ำ พลังลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง พลังงานนิวเคลียร์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีมารองรับ ซึ่งปัจจุบันการใช้พลังงานหมุนเวียนบางประเภทยังมีต้นทุนที่แพงกว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง) มีกระแสต่อต้านจากมวลชนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานน้ำจากการสร้างเขื่อน) และปัญหาความเพียงพอของวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิง (เช่น พลังงานชีวมวล ซึ่งใช้วัตถุดิบร่วมกับภาคเกษตร)
    เนื้อหา
    1 สาเหตุ
    2 ผลกระทบ และผลลัพธ์ที่คาดว่าจะตามมา
    2.1 ต่อสภาพภูมิอากาศ
    2.2 ต่อทะเลและมหาสมุทร
    2.3 ต่อมนุษย์
    3 ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้น
    3.1 สภาพภูมิอากาศ
    3.2 สภาพภูมิประเทศ
    3.3 แหล่งน้ำ
    3.4 มนุษย์
    4 การแก้ปัญหา
    5 ดูเพิ่ม
    6 อ้างอิง
    7 แหล่งข้อมูลอื่น
    //

    สาเหตุ
    มหันตภัยร้ายที่กำลังคุกคามโลกอยู่ขณะนี้ คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ปริมาณมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้ก่อ ถูกปล่อยออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโลกหนาขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นตัวการกักเก็บความร้อนจากแสงอาทิตย์ไว้ไม่ให้คายออกไปสู่บรรยากาศ ซึ่งมีต้นเหตุจากการที่มนุษย์ได้เพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก การเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่งและ การผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนั้น มนุษย์เรายังได้เพิ่มก๊าซกลุ่มไนตรัสออกไซด์และคลอโรฟลูโรคาร์บอน (CFC) เข้าไปอีกด้วยพร้อมๆกับการที่เราตัดและทำลายป่าไม้จำนวนมหาศาล ทำให้กลไกในการดึงเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปจากระบบบรรยากาศถูกลดทอนประสิทธิภาพลง และได้หวนกลับมาสู่เราในลักษณะของสภาวะโลกร้อน ก็จะส่งผลให้อุณหภูมิของบรรยากาศโลก สูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายผืนน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและธารน้ำแข็งบนภูเขาทั้งหมดทั่วโลกค่อยๆ ละลายลงเรื่อยๆ และอาจจะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ฟุต

    ผลกระทบ และผลลัพธ์ที่คาดว่าจะตามมา

    ต่อสภาพภูมิอากาศ
    สภาพอากาศแปรปรวนมากยิ่งขึ้น
    ความชื้นในอากาศเพิ่มมากขึ้นเนื่องด้วยการระเหยของน้ำที่มากขึ้น
    ความไม่มั่นคงของอุณหภูมิ

    ต่อทะเลและมหาสมุทร
    ธารน้ำแข็งและน้ำแข็งตามทั่วโลกละลาย
    น้ำทะเลสูงขึ้น
    อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรสูงขึ้น
    การเปลี่ยนสภาวะของน้ำเป็นกรด
    การหยุดไหลของกระแสน้ำอุ่น

    ต่อมนุษย์
    เกิดการขาดแคลนน้ำดื่ม
    เกิดการอพยพย้ายที่อยู่อาศัยเนื่องจากโดนน้ำท่วม
    เกิดโรคร้ายเพิ่มขึ้น

    ตัวอย่างผลกระทบที่เกิดขึ้น

    สภาพภูมิอากาศ
    ปี 2004 บราซิลซึ่งตั้งอยู่บริเวณส่วนใต้ของมหาสุมุทรแอตแลนติกถูกถล่มด้วยพายุเฮอร์ริเคนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันมาตลอดว่า "เป็นไปไม่ได้ที่เฮอร์ริเคนจะก่อตัวขึ้นในส่วนใต้ของมหาสุมุทรแอตแลนติก"
    ปี 2005 สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับพายุเฮอร์ริเคนถึง 27 ลูกซึ่งรวมถึงเฮอร์ริเคนแคทรีนาที่สร้างความเสียหายอย่างหนักให้เมืองนิวออร์ลีนส์ ในขณะที่ญี่ปุ่นถูกถล่มด้วยพายุไต้ฝุ่นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 10 ลูก จากเดิมที่มีสถิติสูงสุดเพียง 7 ลูกต่อปีเท่านั้น
    ปี 2006 ออสเตรเลียถูกพายุไซโคลนระดับ 5 ซึ่งมีกำลังมหาศาลเข้าถล่มหลายลูก โดยเฉพาะไซโคลนโมนิกาที่วัดได้ว่าเป็นไซโคลนที่มีกำลังแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยไซโคลนลูกนี้มีกำลังมากกว่าเฮอร์ริเคนแคทรีนาเสียอีก

    สภาพภูมิประเทศ

    แหล่งน้ำ
    ทะเลสาบชาด อดีตทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 6 ของโลก แหล่งน้ำกินน้ำใช้ของประชาชนในประเทศชาด ไนจีเรีย แคเมอรูนและไนเจอร์ ภายในเวลาเพียง 40 ปี ทะเลสาบแห่งนี้ ต้องประสบกับการเหือดแห้งของน้ำในทะเลสาบอย่างรุนแรง จนกระทบต่อชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่รอบทะเลสาบอย่างรุนแรง

    มนุษย์

    การแก้ปัญหา
    ใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ไม่กินพลังงานไฟฟ้า
    ใช้หลอดไฟ LED ช่วยประหยัดพลังงานได้ 40%
    ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า
    ควบคุมการเกิดของประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ต้องใช้พลังงานมากขึ้น
    แยกขยะ นำของเก่ามาใช้ใหม่ได้
    ใช้รถยนต์ประหยัดพลังงาน

    ดูเพิ่ม
    คอนเสิร์ตไลฟ์เอิร์ธ

    อ้างอิง
    คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศแห่งสหประชาชาติ (อังกฤษ)
    Whyworldhot.com หยุด! โลกร้อน

    แหล่งข้อมูลอื่น
    โลกร้อน คืออะไร ? จาก วิชาการ.คอม
    สภาวะโลกร้อน จากนิตยสารสารคดี
    ปรากฏการณ์โลกร้อน จากโครงการการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และอวกาศ
    สภาวะโลกร้อน จากสมาคมนิวเคลียร์แห่งประเทศไทย

คุณธรรมนำความรู้



คุณธรรมนำความรู้





  • ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการมอบนโยบาย"การปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ" ว่าปัจจุบันสังคมไทยอยู่ในขั้นวิกฤต จึงต้องปฏิรูปการปกครองกันใหม่ โดยเฉพาะในด้านคุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องที่รัฐบาลเห็นว่ายังด้อยอยู่ ดังนั้น รัฐบาลจึงกำหนดเรื่องคุณธรรมเป็นเรื่องหลักในการให้การศึกษาแก่เยาวชน เพราะหากไม่เร่งทำอะไรให้ดีขึ้น อาจถึงขั้นทำให้สังคมล่มสลาย "นโยบายการจัดการศึกษาของรัฐบาลชุดนี้กำหนดไว้ชัดว่าคุณธรรมนำความรู้ แทนความรู้คู่คุณธรรม พร้อมเน้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันท์ สันติวิธี โดยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้คุณธรรมเป็นฐานจะต้องเชื่อมโยงกับ 3 สถาบัน คือครอบครัว สถานศึกษา และศาสนา หรือ "บวร" คือบ้าน วัด โรงเรียน อย่างไรก็ตาม ศธ.ได้กำหนดเป็นโครงการการเสริมสร้างคุณธรรมในระบบการศึกษาไทย ซึ่งจะเป็นแผนแม่บทในการศึกษาของไทย โดยมอบให้แต่ละหน่วยงาน และสถาบันการศึกษาพิจารณา และทบทวนสิ่งที่ทำอยู่แล้วว่ามีอะไร และมีสิ่งใหม่ที่จะเสริมเติมเต็ม โดยดึงเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นเครือข่าย รวมทั้งอาจต้องฟื้นกิจกรรมบางอย่าง เช่น กิจกรรมค่าย การบำเพ็ญประโยชน์ อาสาสมัคร เป็นต้น ในระดับอุดมศึกษา ต้องเป็นที่พึ่งให้กับการศึกษาในระดับอื่นๆ ในการให้ความรู้ความเข้าใจ และเป็นตัวอย่างการเสริมสร้างคุณธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะศึกษาศาสตร์ และครุศาสตร์"
    ความเป็นมาของโรงเรียนวิถีพุทธ
    โรงเรียนวิถีพุทธ หมายถึง โรงเรียนระบบปกติทั่วไปที่นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ และการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างบูรณาการ ผ่านการกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็น มีปัญญา รู้ เข้าใจคุณค่าแท้ ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญา และมีวัฒนธรรมเมตตาเป็นฐานการดำเนินชีวิต โดยมีผู้บริหารโรงเรียนและคณะครูเป็นกัลยาณมิตรในการพัฒนาและต้องเป็นการพัฒนอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด ด้วยความร่วมมือของทั้งสถานศึกษา บ้าน วัดและสถาบันต่างๆในชุมชนด้วยศรัทธาและฉันทะ ที่จะพัฒนาทั้งนักเรียน และสังคม ตามวิถีแห่งพุทธธรรมเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน ทั้งนี้ผู้บริหารและครูจะประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในวิถีชีวิตจริง ในลักษณะ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น การพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษาโดยการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรมีคุณลักษณะที่ดีตามวิถีพุทธ เช่น ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และพัฒนาตนให้ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ละ เลิกอบายมุข การถือศีล 5 เป็นนิจ ความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ และการเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณธรรม มีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ช่วยสร้างสังคมที่ดี สงบและสันติ ดังคำกล่าวของพระธรรมปิฎก (ป. อ. ประยุทธ์ ปยุตโต) ที่ว่า “ โรงเรียนวิถีพุทธจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีพลัง ในการที่จะสร้างสรรค์อนาคตของชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกทั้งหมด ให้เป็นวิถีแห่งสันติสุขที่ยั่งยืนสืบไป ”
    นวัตกรรมการศึกษารูปแบบใหม่ ดร.สิริกร มณีรินทร์
    การปฏิรูปการศึกษาตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ทั้งด้านโครงสร้าง ด้านระบบบริหารจัดการและการปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาเด็กไทยให้มีคุณภาพและได้รับโอกาสอย่างทั่วถึง แต่ในความเป็นจริงที่โรงเรียนมีมากกว่า ๔๐,๐๐๐ โรงเรียน ซึ่งมีความพร้อมทรัพยากรและศักยภาพแตกต่างกัน ทั้งๆ ศักยภาพของโรงเรียน ชุมชนและผู้เรียนที่หลากหลาย อีกทั้งประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันในเวทีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลเล็งเห็นว่ารัฐต้องดูแลผู้เรียนทุกกลุ่ม ไม่ทอดทิ้งผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ ผู้พิการ แต่ต้องสนับสนุน ส่งเสริมผู้ที่พร้อมกว่า เช่น เด็กปัญญาเลิศให้ก้าวไปข้างหน้าเต็มตามศักยภาพอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ เปรียบเสมือนว่ากระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมเส้นทาง ๒ เส้น คู่ขนานกัน คือเส้นถนนธรรมดาที่รองรับผู้เรียนทั่วไป และทางด่วน(Fast Track) สำหรับผู้ที่พร้อมจะขับเคลื่อนด้วยความเร่งด่วนพิเศษ
    ในการประชุมเรื่องการปฏิรูปอุดมศึกษา ๑๐ มกราคม ๒๕๔๖ กระทรวงศึกษาธิการรับนโยบายดำเนินการเรื่อง “Mini Ministry” คือ ให้มีองค์กรเล็กที่คล่องตัว เพื่อสร้างระบบการทำงานแก่โรงเรียนและนักเรียนของในกลุ่ม ๒ นี้ รวมทั้งจะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นอิสระทางความคิด หลุดจากระเบียบที่รัดรึงเป็นอุปสรรคด้านต่างๆ และขยายผลอย่างเต็มรูปในโอกาสต่อไป บุคคลเหล่านี้ก็จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ ให้ก้าวทันโลกที่เทคโนโลยีเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งนี้โดยไม่ละเลยผู้เรียนโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
    โครงการ “สำนักพัฒนานวัตกรรม” ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยในเบื้องต้นจะพัฒนาโรงเรียนรูปแบบใหม่ ๕ ลักษณะ ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๖ ทั้งนี้โรงเรียนทั้ง ๕ รูปแบบใหม่จะยังมีจำนวนไม่มากนัก เพื่อให้มั่นคงก่อนจะขยายผลตามแผนงานในระบบต่อไป โรงเรียนรูปแบบใหม่ทั้ง ๕ ได้แก่
    รูปแบบที่ ๑ โรงเรียนในกำกับของรัฐ ดร.สมเกียรติ ชอบผล ร่วมกับ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการ
    รูปแบบที่ ๒ โรงเรียนวิถีพุทธ ดร.กมล รอดคล้าย ดร.ไพรัช สู่แสนสุข ดร.บรรเจอดพร รัตนพันธุ์ เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการและได้รับความเมตตาจากสมเด็จพุฒาจารย์ วัดสระเกศ สมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมจิตโต) และรองศาสตาจารย์ บุญนำ ทานสัมฤทธิ์
    รูปแบบที่ ๓ แผนและยุทธศาสตร์สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ นายมังกร กุลวานิช ผอ.ธงชัย ชิวปรีชา คุณงามมาศ เกษมเศรษฐ และ ดร.รุ่งเรือง สุขาภิรมย์ เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการ
    รูปแบบที่ ๔ โรงเรียนสองภาษา ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม และนายนิวัตร นาคะเวช เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการร่วมกับผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
    รูปแบบที่ ๕ โรงเรียนใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ดร.อธิปัตย์ คลี่สุนทร เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ๕ แห่ง
    โรงเรียนรูปแบบใหม่ทั้ง ๕ นี้ คือ รูปแบบของความแตกต่างหลากหลายที่กำลังเริ่มต้นและจะเบ่งบานขยายออกไปเต็มแผ่นดิน สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและประเทศชาติในด้านต่าง ๆ โดยจุดเน้นของนวัตกรรมการศึกษาจะต่างกัน ได้แก่
    โรงเรียนในกำกับของรัฐ มีจุดเน้นที่การบริหารจัดการแบบเอกชนที่คล่องตัว
    โรงเรียนวิถีพุทธ มีจุดเน้นที่จิตวิญญาณ เป็นการเรียนรู้รากเหง้าของภูมิปัญญาไทย คือ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาอันทรงคุณค่า ให้ผสมผสานกับการปฏิรูปการเรียนรู้
    โรงเรียนสองภาษา มีจุดเน้นที่การใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เป็นต้น

    การดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ
    ดร.ไพรัช สู่แสนสุขดร.บรรเจอดพร สู่แสนสุข
    โรงเรียนวิถีพุทธ
    คือ โรงเรียนระบบปกติทั่วไปที่นำหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหารและการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา อย่างบูรณาการ
    รูปแบบโรงเรียนวิถีพุทธ จุดเน้น โรงเรียนวิถีพุทธดำเนินการพัฒนาผู้เรียนโดยใช้หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างบูรณาการ ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการพัฒนา “การกิน อยู่ ดู ฟัง เป็น ” คือ มีปัญญารู้เข้าใจในทางคุณค่าแท้ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญา และมีวัฒนธรรมเมตตา เป็นฐานการดำเนินชีวิตโดยมีผู้บริหารและคณะครูเป็นกัลยาณมิตรการพัฒนา
    ลักษณะโรงเรียนวิถีพุทธ เน้นการจัดสภาพทุก ๆ ด้าน เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักพุทธธรรมอย่างบูรณาการที่ส่งเสริมให้เกิดความเจริญงอกงามตามลักษณะแห่งปัญญาวุฒิธรรม ๔ ประการ คือ
    ๑. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึงการอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผู้รู้ มีครู อาจารย์ดี มีข้อมูล มีสื่อที่ดี
    ๒. สัทธัมมัสสวนะ หมายถึง เอาใจใส่ศึกษาโดยมีหลักสูตร การเรียนการสอนที่ดี
    ๓. โยนิโสมนสิการ หมายถึง มีกระบวนการคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลที่ดีและถูกวิธี
    ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ หมายถึง ความสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตได้ถูกต้องเหมาะสม
    ห้องเรียน แหล่งเรียนรู้ สภาพแวดล้อม เป็นต้น ด้านกิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต เช่น กิจกรรมประจำวัน กิจกรรมวันสำคัญ กิจกรรมนักเรียนต่าง ๆ ด้านการเรียนการสอน เริ่มตั้งแต่การกำหนดหลักสูตรสถานศึกษา การจัดหน่วยการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ จนถึงกระบวนการเรียนการสอน ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ในการปฏิบัติต่อกันระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับนักเรียน หรือครูกับครู เป็นต้น และ ด้านการบริหารจัดการ ตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ จุดเน้น การกำหนดแผนปฏิบัติการ การสนับสนุน ติดตาม ประเมินผล และพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งการจัดสภาพในแต่ละด้านจะมุ่งเพื่อให้การพัฒนานักเรียนตามระบบไตรสิกขาดำเนินได้อย่างชัดเจนมีประสิทธิภาพ ดังเช่น การจัดด้าน การจัดสภาพของโรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบด้วย ด้านกายภาพ คือ อาคารสถานที่ กายภาพ ควรเป็นธรรมชาติ สภาพชวนให้มีจิตใจสงบ ส่งเสริมปัญญา กระตุ้นการพัฒนาศรัทธา และศีลธรรม กิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต กระตุ้นให้การกิน อยู่ ดู ฟัง ดำเนินด้วยสติสัมปชัญญะเป็นไปตามคุณค่าแท้ ด้านการเรียนการสอน บูรณาการพุทธธรรมในการจัดการเรียนรู้ชัดเจน ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ เอื้ออาทร เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ส่งเสริมทั้งวัฒนธรรมเมตตา และวัฒนธรรมแสวงปัญญา เป็นต้น
    การบริหารจัดการโรงเรียนวิถีพุทธ
    มีขั้นตอนสำคัญ เช่น การเตรียมการ เตรียมทั้งบุคลากร ผู้เกี่ยวข้อง แผนงาน ทรัพยากร ที่มุ่งเน้นสร้างศรัทธาและฉันทะในการพัฒนา การดำเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบต่างๆ ที่จัดเพื่อส่งเสริม ให้เกิดความเจริญงอกงามหรือปัญญาวุฒิธรรม ในการพัฒนาผู้เรียน การดำเนินการพัฒนาทั้งผู้เรียนและบุคลากร ตามระบบไตรสิกขาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้สภาพและ องค์ประกอบที่จัดไว้ข้างต้น ขั้นต่อมา คือ การดูแลสนับสนุน ใกล้ชิด ด้วยท่าทีของความเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ที่จะทำให้การพัฒนานักเรียนและงาน ดำเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อจากนั้น มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอิทธิบาท 4 และหลักอุปัญญาตธรรม คือ ความไม่สันโดษในกุศลธรรม และความไม่ระย่อในการพากเพียร เป็นต้น ขั้นสุดท้ายของกระบวนการบริหารแต่เป็นฐานสู่การพัฒนาในลำดับต่อไป คือ ขั้นประเมินผลและเผยแพร่ผลการดำเนินงาน
    ลักษณะการเกื้อกูลสัมพันธ์ โรงเรียนวิถีพุทธและชุมชน
    จะมีลักษณะของการร่วมมือ ทั้งสถานศึกษา บ้าน วัด และสถาบันต่างๆในชุมชน ด้วยศรัทธาและฉันทะ ที่จะพัฒนาทั้งนักเรียน และสังคม ตามวิถีแห่งพุทธธรรม เพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน
    การพัฒนาบุคลากรและคุณลักษณะบุคลากร การพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธแม้จะยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่บุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารและครู มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นปัจจัย ให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างดี ทั้งการเป็นผู้จัดการเรียนรู้ และการเป็นแบบอย่างที่ดีในวิถีชีวิตจริง ในลักษณะ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น การพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษามีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องหลากหลายวิธีการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรมีคุณลักษณะที่ดีตามวิถีพุทธ เช่น ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และพัฒนาตนให้ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ละ เลิกอบายมุข การถือศีล 5 เป็นนิจ ความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ และการเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นต้น
    การดำเนินการในระยะแรกของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ เดือนพฤษภาคม 2546 มีโรงเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 80 โรงเรียน มีทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
    ก้าวสู่...การพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธ
    คงยากที่จะปฏิเสธแล้วว่า ในแวดวงโรงเรียน หรือคุณครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะไม่เคยได้ยินคำว่า โรงเรียนวิถีพุทธ หากหมายรวมเลยไปถึงพระภิกษุ สามเณร พระเถรานุเถระ ล้วนเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน บทความเกี่ยวกับโรงเรียนวิถีพุทธอยู่บ้าง มีหลายท่านทราบความเป็นมาโดยตลอด หลายท่านอาจยังมีข้อมูลไม่ชัดเจน ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีอีกวาระหนึ่งที่จะสื่อสารให้ทราบกันในทุกพื้นที่ว่า หากสนใจรายละเอียดและจะร่วมโครงการต้องเริ่มต้นอย่างไร ใครจะให้คำตอบได้บ้าง
    ขอเริ่มต้นที่ความหมาย กล่าวคือ โรงเรียนวิถีพุทธ เป็นโรงเรียนระบบปกติทั่วไป ที่นำหลักธรรมใน พระพุทธศาสนามาใช้หรือประยุกต์ใช้ในการบริหาร และการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาอย่างบูรณาการ ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้พัฒนาการกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็น โดยผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญาและมีวัฒนธรรมเมตตา เป็นฐานการดำเนินชีวิต
    กระทรวงศึกษาธิการได้รับใบสมัครของโรงเรียนที่สนใจ เข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธเป็นจำนวนมาก ทั้งโรงเรียนของภาครัฐ เอกชน กระจายอยู่เกือบทุกจังหวัด และได้จัดปฐมนิเทศ เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ
    หลักสำคัญของการสมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธคือ “ฉันทะ” หมายถึง รัก พึงพอใจยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการ จึงจำเป็นต้องให้มีการสมัครเพื่อแสดงถึงเจตนาของโรงเรียน เพราะเชื่อว่าหากโรงเรียนสมัครใจที่จะสร้างคนดี มีปัญญา มีความรู้ สมดังเจตนารมณ์ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว แม้ว่าโรงเรียน ครูจะยังมีพื้นฐานความรู้ด้านพุทธศาสตร์ไม่มากนัก แต่มีความรักสมัครใจก็สามารถดำเนินการโรงเรียนวิถีพุทธอย่างมีประสิทธิภาพได้
    เมื่อผ่านการสมัครใจแล้ว สิ่งสำคัญอันดับต่อมาคือ การประชุมปฐมนิเทศ เพื่อให้มีความรู้เบื้องต้นอันเป็นพื้นฐานนำไปปรับดำเนินการให้เข้ากับศักยภาพของโรงเรียน ดังนั้นการประชุมปฐมนิเทศจึงจำเป็นต้องให้ผู้มีบทบาทหลักของโรงเรียนเข้าปฐมนิเทศด้วยตนเองโดยไม่ให้ส่งผู้แทน การปฐมนิเทศจึงได้เชิญ ผู้บริหารโรงเรียนและประธานคณะกรรมการสถานศึกษา หากมีงบประมาณเพียงพออาจเชิญมากกว่า 2 ท่านนี้ก็ย่อมทำได้ ซึ่งสถานที่และกระบวนการจัดประชุมจะเน้นบรรยากาศการกิน อยู่ง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย โน้มน้าวจิตใจสู่การปฏิบัติอย่างวิถีพุทธ โดยพยายามเลือกสถานที่ในลักษณะเป็นวัด วัดป่า พุทธมณฑลหรือพุทธสถานต่างๆ และหอประชุมโรงเรียนเป็นต้น ในการประชุมปฐมนิเทศ วันแรก ได้นิมนต์พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ให้มาบรรยายลักษณะหัวเรื่อง “พุทธปรัชญา สู่โรงเรียนวิถีพุทธ” เพื่อเสริมปัญญาและเป็นสิริมงคลแก่การประชุมที่จะเริ่มต้นเข้าโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ต่อจากนั้นจะเป็นการขยายความแนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งการอธิบายขยายความนี้จะใช้เอกสารเล่มสีม่วง “แนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ” เป็นเอกสารหลัก เพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษาได้เห็นความสำคัญ อีกทั้งเข้าใจแนวการดำเนินงานเชิงหลักการและทิศทางกว้าง ๆ พร้อมที่จะให้โรงเรียนไปปรับพัฒนาตามศักยภาพของโรงเรียน เช่น ในเรื่อง การจัดสภาพแวดล้อมให้ ใกล้ชิดธรรมชาติ ชวนให้ใจสงบ สว่างด้วยปัญญา มีกิจกรรมพื้นฐานชีวิต และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้งด้านพฤติกรรม จิตใจและปัญญาที่บูรณาการไตรสิกขา เน้นการ กิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ รู้คุณค่าแท้ มีการส่งเสริมวัฒนธรรมแสวงปัญญา มีบรรยากาศกัลยาณมิตรต่อกัน ทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน นำพานักเรียนเกิดการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวมสู่ชีวิตที่สมบูรณ์
    หลังจาก 2 หัวข้อแรกผ่านไป ซึ่งจะทำให้ได้รับทราบกรอบการดำเนินงานแล้ว ก็เป็นวาระที่จะได้ฟังผู้ที่ปฏิบัติจริง จึงเป็นหัวข้อที่ เชิญผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธมาเล่าประสบการณ์ ปัญหา อุปสรรค แนวทางแก้ไข และเทคนิคพิเศษต่างๆ ที่ได้จัดทำโรงเรียนวิถีพุทธ ในช่วงเวลานี้อาจใช้รูปแบบการอภิปราย มีผู้ดำเนินรายการและผู้บริหารโรงเรียน/ผู้แทน 2-3 โรงเรียน ในช่วงท้ายจะเปิดโอกาสให้พูดคุยซักถามได้ด้วย
    หัวข้อสุดท้ายของการประชุมวันแรก จะเป็นการเตรียมการเพื่อประชุมวันที่สอง กล่าวคือ วันที่สองจะเป็นการให้ประสบการณ์ตรงแก่ผู้เข้าประชุม เพื่อให้เห็นภาพจริงหลังจากที่ฟังกรอบการดำเนินงาน ฟังผู้ที่ปฏิบัติจริงเล่าการดำเนินงานแล้วในวันแรก วันที่สองจึงเป็นวันไปดูของจริง โดยอาจเลือกสถานที่ดูงานโรงเรียนวิถีพุทธ 2-3 โรงเรียนที่ได้คัดเลือกแล้วว่าจะเป็นตัวอย่างได้ เพื่อให้เห็นกับตาว่าเมื่อลงมือปฏิบัติจะเป็นอย่างไร ให้ผู้เข้าประชุมได้คุยกับครู / นักเรียน ให้ได้เห็นสภาพการจัดบรรยากาศโรงเรียน ได้ดูกิจกรรมพื้นฐานชีวิตที่ว่าบูรณาการทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นทำได้อย่างไร ในวันที่สองนี้จึงเหมาะกับคำพังเพยที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ดังนั้น ก่อนจะไปเห็นด้วยตาจึงให้มีการหารือ แบ่งกลุ่ม วางแผน เตรียมคำถาม เตรียมเก็บข้อมูล เตรียมเก็บภาพ ฯลฯ และที่สำคัญหลังจากที่ทุกคนกลับจากดูงานมาแล้ว เตรียมนำเสนอให้กลุ่มที่เลือกสถานที่ดูงานต่างกันทราบ จะได้รับรู้ข้อมูลที่กว้างขวางด้วย
    วันที่สามของการประชุม จะเป็นช่วงของการวางแผนปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์ โดยก่อนหน้าการวางแผนอาจจัดให้มีผู้มี ประสบการณ์ในการพัฒนาชีวิตหรือการพัฒนาองค์กรในวิถีพุทธ มาให้ข้อคิดเพิ่มเติม และผนวกกับการได้ศึกษาดูงานที่ได้ประสบการณ์ “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ไปแล้ว จะนำมาสู่การวางแผนปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์ โดยหารือร่วมกันกับกรรมการสถานศึกษาที่มาประชุมด้วยกันนั้น หลังจากหารือวางแผนเบื้องต้นแล้วก็ทดลองเสนอให้เพื่อนผู้บริหารในที่ประชุมฟัง พร้อมทั้งฟังแผนการดำเนินงานของโรงเรียนอื่น ๆ ลักษณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน ในที่สุดก็กลับมาทบทวนพิจารณา ปรับแผนโรงเรียนวิถีพุทธของตนเองให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารโรงเรียนได้แผนเบื้องต้นกลับไปโรงเรียน เพื่อไปสู่การหารือรายละเอียด และตัดสินใจร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องที่โรงเรียนต่อไป
    เป็นอันว่าเมื่อการประชุมครบ 3 วัน ซึ่งเต็มไปด้วยความเข้าใจ อิ่มเอมใจ และมุ่งมั่น เพราะผู้เข้าร่วมประชุมได้ฟังทั้งเชิงสาระ แนวดำเนินการ ได้รับประสบการณ์ตรงจากการฟัง ซักถาม และการไปศึกษาดูงานโรงเรียนวิถีพุทธ อีกทั้งได้มีแผนการปฏิบัติถือติดมือกลับไป เมื่อไปถึงโรงเรียนก็อาจเชิญประชุมคณะครูผู้เกี่ยวข้องเพื่อเริ่มลงมือปฏิบัติการได้อย่างชัดเจน เพื่อให้โรงเรียนที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ได้มีแหล่งข้อมูลที่ใกล้ตัว สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (สนก.) สพฐ. จึงได้เชิญผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ทั้ง 175 เขตพื้นที่การศึกษา เข้าร่วมรับทราบแนวการดำเนินงาน การประสานงาน การสนับสนุน ส่งเสริม ให้โรงเรียนดำเนินการ และการเผยแพร่ข้อมูล การบริหารเครือข่าย และขยายผลโรงเรียนวิถีพุทธ ดังนั้นขณะนี้จึงมีผู้รับผิดชอบโรงเรียนวิถีพุทธอยู่ในทุกเขตพื้นที่การศึกษา
    ก้าวย่างที่งดงามของโรงเรียนวิถีพุทธ เป็นอีกความหวังที่ยิ่งใหญ่ของผู้ปกครองและชุมชนในอันที่จะสานฝันให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณธรรม มีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ช่วยสร้างสังคมที่ดี สงบและสันติ ดังคำกล่าวของพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) ที่ว่า…
    “…..โรงเรียนวิถีพุทธจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีพลัง ในการที่จะสร้างสรรค์อนาคตของชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกทั้งหมด ให้เป็นวิถีแห่งสันติสุขที่ยั่งยืนสืบไป ”

เศรษฐกิจพอเพียง

  • เศรษฐกิจพอเพียง
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไขจาก งานนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
    เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517[1] และพูดถึงอย่างขัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 (ภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540) เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ[2] ในทางการเมืองของไทยแล้ว เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทสำคัญในการสถาปนาอำนาจนำด้านอุดมการณ์ โดยเฉพาะอุดมการณ์กษัตริย์นิยมในสังคมไทย ในฐานะ "กษัตริย์นักพัฒนา" ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของอุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียง สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำและผลิตซ้ำโดยสถาบันทางสังคมต่าง ๆ เช่น สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการ สื่อมวลชน ส่งผลให้เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ[3] และการพยายามตีความเพื่อสร้างความชอบธรรมในการพัฒนาโดยปัญญาชนอย่าง ประเวศ วะสี, เสน่ห์ จามริก, อภิชัย พันธเสน และ ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ซึ่งเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับอุดมการณ์วัฒนธรรมชุมชน ที่ถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2550 ก็ได้ช่วยให้อุดมการณ์เศรษฐกิจพอเพียงขยายครอบคลุมส่วนต่าง ๆ ของสังคม[3]
    สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549)[2][4] และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานฯ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ[5] และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน[6] ในขณะที่นักวิชาการและสื่อจำนวนหนึ่งตั้งคำถามถึงการยกย่องนี้ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีของสหประชาชาติ (ดูเพิ่มที่ การวิพากษ์วิจารณ์)
    เนื้อหา
    1 หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
    2 การนำไปใช้
    2.1 นอกประเทศไทย
    3 การวิพากษ์วิจารณ์
    4 อ้างอิง



    หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

    “...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งใหม่แต่เราอยู่ อย่างพอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบ ช่วยกันรักษาส่วนร่วม ให้อยู่ที่พอสมควร ขอย้ำพอควร พออยู่พอกิน มีความสงบไม่ให้คนอื่นมาแย่งคุณสมบัตินี้ไปจากเราได้...”

    พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาแต่พระพุทธศักราช 2517[1]

    การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง

    — พระราชดำรัส "เศรษฐกิจแบบพอเพียง" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540
    เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศ ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เพียงการประหยัด แต่เป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง
    ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านช่องทางต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้ และ คุณธรรม"
    อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"[7]
    ระบบเศรษฐกิจพอเพียง มุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน (ปัจจัยเสริมในที่นี้เช่น ท่องเที่ยว ความบันเทิง เป็นต้น) สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต

    การนำไปใช้
    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว" ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท[8]
    ปัญหาหนึ่งของการนำปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ก็คือ ผู้นำไปใช้อาจยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีความรู้เพียงพอ ทั้งยังไม่กล้าวิเคราะห์หรือตั้งคำถามต่อตัวปรัชญา เนื่องจากเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์[9]. สมเกียรติ อ่อนวิมล เรียกสิ่งนี้ว่า "วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง"[10] โดยสมเกียรติมีความเห็นว่า ผู้นำไปใช้อาจไม่รู้ว่าปรัชญานี้แท้จริงคืออะไร ซึ่งอาจเพราะสับสนว่า เศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้เข้าใจผิดว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม นอกจากนี้ยังมีความไม่รู้ว่าจะนำปรัชญานี้ไปใช้ทำอะไร กลายเป็นว่าผู้นำสังคมทุกคน รวมถึงนักการเมืองและรัฐบาล โดยวิจารณ์โครงการในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้คำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นข้ออ้างในการทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีว่าได้สนองพระราชดำรัส หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และได้วิจารณ์ว่ารัฐบาลยังไม่ได้ใช้อะไรเลยเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง แต่พูดควบคู่กับการเอาทุนนิยม 100 เปอร์เซ็นต์ลงไป ซึ่งรัฐบาลควรต้องปรับทิศทางใหม่ เพราะรัฐบาลไม่ได้เอาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาและเป็นนโยบายทางวัฒนธรรมและสังคม สมเกียรติยังมีความเห็นด้วยว่าความไม่เข้าใจนี้ อาจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้มีความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด.
    สิ่งที่สมเกียรติเสนอนี้ สอดคล้องกับที่ ชนิดา ชิตย์บัณฑิตย์ เสนอเช่นกันว่า เศรษฐกิจพอเพียงมีความหมายที่ลื่นไหลไปมา ไม่ผูกติดกับรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่ามีนัยยะทางการเมืองแฝงอยู่ในการนำเสนอเสมอ ดังนั้น ถ้าพิจารณาในแง่อุดมการณ์ จำเป็นต้องดูบริบทของกลุ่มที่นำมาใช้หรือตีความ ว่าสร้างความชอบธรรมให้กับการพัฒนารูปแบบใด หรือมีนัยยะทางการเมืองอะไรอยู่เบื้องหลัง[11]
    นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 24 พศจิกายน พ.ศ. 2547 ในการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ Burkina Faso ว่า ประเทศไทยได้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสอดคล้องเป้าหมายแนวทางของนานาชาติในประชาคมโลก โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาในการแก้ปัญหาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยโตได้ถึงร้อยละ 6.7[12]

    นอกประเทศไทย
    การประยุกต์นำหลักปรัชญาเพื่อนำพัฒนาประเทศในต่างประเทศนั้น ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน ผ่านทางสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) โดย สพร.มีหน้าที่ คอยประสานงานรับความช่วยเหลือทางวิชาการด้านต่าง ๆ จากต่างประเทศมาสู่ภาครัฐ แล้วถ่ายทอดต่อไปยังภาคประชาชน และยังส่งผ่านความรู้ที่มีไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น สพร. ถ่ายทอดมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี ประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และคณะอนุ กรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต่างชาติก็สนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งแต่ละประเทศมีความต้องการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สภาพภูมิศาสตร์ ฯลฯ เช่น พม่า ศรีลังกา เลโซโท ซูดาน อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน จีน จิบูตี โคลัมเบีย อียิปต์ เอธิโอเปีย แกมเบีย อินโดนีเซีย เคนยา เกาหลีใต้ มาดากัสการ์ มัลดีฟส์ ปาปัวนิวกินี แทนซาเนีย เวียดนาม ฯลฯ โดยได้ให้ประเทศเหล่านี้ได้มาดูงาน ในหลายระดับ ทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย จนถึงระดับปลัดกระทรวง รัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ[13]
    นอกจากนั้นอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้กล่าวว่า ต่างชาติสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง[13] เนื่องจากมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ และอยากรู้ว่าทำไมรัฐบาลไทยถึงได้นำมาเป็นนโยบาย ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องการศึกษาพิจารณาเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศอื่น

    การวิพากษ์วิจารณ์
    ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ (UN) โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล The Human Development Lifetime Achievement Award แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ[5] และสามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวงกว้างขึ้นในที่สุด[14] โดยที่องค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิก 166 ประเทศยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน[6]
    อย่างไรก็ตาม นายเควิน ฮิววิสัน อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ที่แชพเพลฮิลล์ ได้วิจารณ์รายงานขององค์การสหประชาชาติโดยสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ที่ยกย่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง[15] ว่า รายงานฉบับดังกล่าวไม่ได้มีเนื้อหาสนับสนุนว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็น “ทางเลือกที่จำเป็นมากสำหรับโลกที่กำลังดำเนินไปในเส้นทางที่ไม่ยั่งยืนอยู่ในขณะนี้” (น. v ในรายงาน UNDP) เลย โดยเนื้อหาแทบทั้งหมดเป็นการเทิดพระเกียรติ และในส่วนของการอ้างอิงซึ่งน้อยมากนั้นก็แทบไม่มีงานสังคมศาสตร์จริง ๆ เลย และอันที่จริงแล้วราชสำนักเป็นผู้ผลิตรายงานฉบับนี้เอง (จากส่วน "กิตติกรรมประกาศ" น. vii ในรายงาน UNDP) ทำให้ที่สุดแล้ว รายงานฉบับนี้ก็มีค่าเพียงเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อภายในประเทศเท่านั้น และผู้วิจารณ์เห็นว่า UNDP ควรทำการค้นหาตัวตนของสถาบันอย่างจริงจังเพื่อจะเข้าใจว่าเหตุใดจึงถูกใช้ในลักษณะนี้ หรือมาร่วมมือเชิดชูรัฐบาลที่มาจากทหารได้อย่างไร[16]
    นิตยสารวิเคราะห์เศรษฐกิจรายสัปดาห์ The Economist ได้วิพากษ์รายงานฉบับดังกล่าวว่าเป็นรายงานที่ไม่สมดุล ("unbalanced report") เกี่ยวกับทฤษฎีที่ไม่เคยทดสอบในระดับชาติ และละเลยการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงไม่ลำเอียง (objectivity) อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ รายงานฉบับนี้ยังมอบความชอบธรรมให้กับระบอบที่ได้อำนาจมาจากการใช้กำลัง[9]
    ส่วน Håkan Björkman รักษาการผู้อำนวยการ UNDP ในประเทศไทย กล่าวว่า "UNDP ต้องการที่จะทำให้เกิดการอภิปรายพิจารณาเรื่องนี้ แต่การอภิปรายดังกล่าวนั้นเป็นไปไม่ได้ในประเทศไทย เพราะทฤษฎีพอเพียงเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์ และอะไรก็ตามที่วิพากษ์มันแม้เพียงห่าง ๆ ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีโทษถึงจำคุก"[9]อ้างอิง
    1.0 1.1 พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาแต่พระพุทธศักราช 2517, อ้างใน ว.วชิรเมธี, ความสับสนเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง, เนชั่นสุดสัปดาห์ ปีที่ 15 ฉบับที่ 763 วันที่ 12-18 มกราคม พ.ศ. 2550
    2.0 2.1 ศูนย์ศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
    3.0 3.1 ประชาไท, “เศรษฐกิจพอเพียง” กับ “การสถาปนาพระราชอำนาจนำ”: เสวนาที่ ม.อุบลราชธานี, 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
    สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, เอกสารสรุปสาระสำคัญ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๙
    5.0 5.1 UN Secretary-General office. THAI KING’S DEVELOPMENT AGENDA, VISIONARY THINKING INSPIRATION TO PEOPLE EVERYWHERE, SAYS SECRETARY-GENERAL TO BANGKOK PANEL
    6.0 6.1 UN News Center. With new Human Development award, Annan hails Thai King as example for the world
    อภิชัย พันธเสน, พุทธเศรษฐศาสตร์: วิวัฒนาการ ทฤษฎี และการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขาต่าง ๆ, สำนักพิมพ์อมรินทร์, 2547.
    พิสิฐ ลี้อาธรรม, 2549 ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจมหภาคการเงินการคลัง
    9.0 9.1 9.2 The Economist, Rebranding Thaksinomics, January 11, 2007
    วิกฤต"เศรษฐกิจพอเพียง" สมเกียรติ อ่อนวิมล "ปรัชญา" ไม่ใช่ "ทฤษฎี", มติชน, 26 ก.พ. 2550, น. 11
    ชนิดา ชิตย์บัณฑิตย์, “มองเศรษฐกิจพอเพียงผ่านแว่นหลากสี: “เศรษฐกิจพอเพียง” กับ “การสถาปนาพระราชอำนาจนำ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”, การประชุมเชิงวิชาการ เหลียวหลังแลหน้าการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทอีสานช่วงทศวรรษ 2540-2550 กรณี “เศรษฐกิจพอเพียง: ความรู้และความไม่รู้”, คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550. อ้างผ่าน ประชาไท, “เศรษฐกิจพอเพียง” กับ “การสถาปนาพระราชอำนาจนำ”: เสวนาที่ ม.อุบลราชธานี, 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550
    Statement by H.E. Dr. Surakiat Sathirathai, Minister of Foreign Affairs of Thailand at the Luncheon held at upon the occasion of Ministerial Meeting of the Tenth Summit of the Francophonie Ouagadougou, Burkina Faso, 24 November 2004
    13.0 13.1 สุทธาสินี จิตรกรรมไทย, สหประชาชาติ กับ "เศรษฐกิจพอเพียง" ของ"ในหลวง", หนังสือพิมพ์มติชน วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10607
    Håkan Björkman, Honouring the World's 'Development King', UN Chronical Online
    UNDP, Thailand Human Development Report 2007: Sufficiency Economy and Human Development, United Nations Development Programme, 2007
    ประชาไท, วิจารณ์รายงาน UNDP ประจำปี 2550 ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง, 4 ธันวาคม พ.ศ. 2550. แปลบางส่วนจากบทความ “Royalist propaganda and policy nonsense”, Journal of Contemporary Asia, 38, ฉบับที่ 1 ปี 2008 และเรียกดูได้จาก New Mandala, Interview with Professor Kevin Hewison - Part One, 16 August, 2007