คุณธรรมนำความรู้
ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวในการมอบนโยบาย"การปฏิรูปการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ" ว่าปัจจุบันสังคมไทยอยู่ในขั้นวิกฤต จึงต้องปฏิรูปการปกครองกันใหม่ โดยเฉพาะในด้านคุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่องที่รัฐบาลเห็นว่ายังด้อยอยู่ ดังนั้น รัฐบาลจึงกำหนดเรื่องคุณธรรมเป็นเรื่องหลักในการให้การศึกษาแก่เยาวชน เพราะหากไม่เร่งทำอะไรให้ดีขึ้น อาจถึงขั้นทำให้สังคมล่มสลาย "นโยบายการจัดการศึกษาของรัฐบาลชุดนี้กำหนดไว้ชัดว่าคุณธรรมนำความรู้ แทนความรู้คู่คุณธรรม พร้อมเน้นปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันท์ สันติวิธี โดยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้คุณธรรมเป็นฐานจะต้องเชื่อมโยงกับ 3 สถาบัน คือครอบครัว สถานศึกษา และศาสนา หรือ "บวร" คือบ้าน วัด โรงเรียน อย่างไรก็ตาม ศธ.ได้กำหนดเป็นโครงการการเสริมสร้างคุณธรรมในระบบการศึกษาไทย ซึ่งจะเป็นแผนแม่บทในการศึกษาของไทย โดยมอบให้แต่ละหน่วยงาน และสถาบันการศึกษาพิจารณา และทบทวนสิ่งที่ทำอยู่แล้วว่ามีอะไร และมีสิ่งใหม่ที่จะเสริมเติมเต็ม โดยดึงเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาเป็นเครือข่าย รวมทั้งอาจต้องฟื้นกิจกรรมบางอย่าง เช่น กิจกรรมค่าย การบำเพ็ญประโยชน์ อาสาสมัคร เป็นต้น ในระดับอุดมศึกษา ต้องเป็นที่พึ่งให้กับการศึกษาในระดับอื่นๆ ในการให้ความรู้ความเข้าใจ และเป็นตัวอย่างการเสริมสร้างคุณธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะศึกษาศาสตร์ และครุศาสตร์"
ความเป็นมาของโรงเรียนวิถีพุทธ
โรงเรียนวิถีพุทธ หมายถึง โรงเรียนระบบปกติทั่วไปที่นำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ และการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างบูรณาการ ผ่านการกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็น มีปัญญา รู้ เข้าใจคุณค่าแท้ ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญา และมีวัฒนธรรมเมตตาเป็นฐานการดำเนินชีวิต โดยมีผู้บริหารโรงเรียนและคณะครูเป็นกัลยาณมิตรในการพัฒนาและต้องเป็นการพัฒนอย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด ด้วยความร่วมมือของทั้งสถานศึกษา บ้าน วัดและสถาบันต่างๆในชุมชนด้วยศรัทธาและฉันทะ ที่จะพัฒนาทั้งนักเรียน และสังคม ตามวิถีแห่งพุทธธรรมเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน ทั้งนี้ผู้บริหารและครูจะประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีในวิถีชีวิตจริง ในลักษณะ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น การพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษาโดยการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรมีคุณลักษณะที่ดีตามวิถีพุทธ เช่น ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และพัฒนาตนให้ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ละ เลิกอบายมุข การถือศีล 5 เป็นนิจ ความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ และการเป็นแบบอย่างที่ดีเป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณธรรม มีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ช่วยสร้างสังคมที่ดี สงบและสันติ ดังคำกล่าวของพระธรรมปิฎก (ป. อ. ประยุทธ์ ปยุตโต) ที่ว่า “ โรงเรียนวิถีพุทธจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีพลัง ในการที่จะสร้างสรรค์อนาคตของชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกทั้งหมด ให้เป็นวิถีแห่งสันติสุขที่ยั่งยืนสืบไป ”
นวัตกรรมการศึกษารูปแบบใหม่ ดร.สิริกร มณีรินทร์
การปฏิรูปการศึกษาตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ทั้งด้านโครงสร้าง ด้านระบบบริหารจัดการและการปฏิรูปการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาเด็กไทยให้มีคุณภาพและได้รับโอกาสอย่างทั่วถึง แต่ในความเป็นจริงที่โรงเรียนมีมากกว่า ๔๐,๐๐๐ โรงเรียน ซึ่งมีความพร้อมทรัพยากรและศักยภาพแตกต่างกัน ทั้งๆ ศักยภาพของโรงเรียน ชุมชนและผู้เรียนที่หลากหลาย อีกทั้งประเทศไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันในเวทีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รัฐบาลเล็งเห็นว่ารัฐต้องดูแลผู้เรียนทุกกลุ่ม ไม่ทอดทิ้งผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ ผู้พิการ แต่ต้องสนับสนุน ส่งเสริมผู้ที่พร้อมกว่า เช่น เด็กปัญญาเลิศให้ก้าวไปข้างหน้าเต็มตามศักยภาพอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ เปรียบเสมือนว่ากระทรวงศึกษาธิการต้องเตรียมเส้นทาง ๒ เส้น คู่ขนานกัน คือเส้นถนนธรรมดาที่รองรับผู้เรียนทั่วไป และทางด่วน(Fast Track) สำหรับผู้ที่พร้อมจะขับเคลื่อนด้วยความเร่งด่วนพิเศษ
ในการประชุมเรื่องการปฏิรูปอุดมศึกษา ๑๐ มกราคม ๒๕๔๖ กระทรวงศึกษาธิการรับนโยบายดำเนินการเรื่อง “Mini Ministry” คือ ให้มีองค์กรเล็กที่คล่องตัว เพื่อสร้างระบบการทำงานแก่โรงเรียนและนักเรียนของในกลุ่ม ๒ นี้ รวมทั้งจะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นอิสระทางความคิด หลุดจากระเบียบที่รัดรึงเป็นอุปสรรคด้านต่างๆ และขยายผลอย่างเต็มรูปในโอกาสต่อไป บุคคลเหล่านี้ก็จะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ ให้ก้าวทันโลกที่เทคโนโลยีเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งนี้โดยไม่ละเลยผู้เรียนโรงเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ
โครงการ “สำนักพัฒนานวัตกรรม” ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยในเบื้องต้นจะพัฒนาโรงเรียนรูปแบบใหม่ ๕ ลักษณะ ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๖ ทั้งนี้โรงเรียนทั้ง ๕ รูปแบบใหม่จะยังมีจำนวนไม่มากนัก เพื่อให้มั่นคงก่อนจะขยายผลตามแผนงานในระบบต่อไป โรงเรียนรูปแบบใหม่ทั้ง ๕ ได้แก่
รูปแบบที่ ๑ โรงเรียนในกำกับของรัฐ ดร.สมเกียรติ ชอบผล ร่วมกับ ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการ
รูปแบบที่ ๒ โรงเรียนวิถีพุทธ ดร.กมล รอดคล้าย ดร.ไพรัช สู่แสนสุข ดร.บรรเจอดพร รัตนพันธุ์ เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการและได้รับความเมตตาจากสมเด็จพุฒาจารย์ วัดสระเกศ สมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) พระเทพโสภณ (ประยูร ธมมจิตโต) และรองศาสตาจารย์ บุญนำ ทานสัมฤทธิ์
รูปแบบที่ ๓ แผนและยุทธศาสตร์สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ นายมังกร กุลวานิช ผอ.ธงชัย ชิวปรีชา คุณงามมาศ เกษมเศรษฐ และ ดร.รุ่งเรือง สุขาภิรมย์ เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการ
รูปแบบที่ ๔ โรงเรียนสองภาษา ดร.ณหทัย ทิวไผ่งาม และนายนิวัตร นาคะเวช เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการร่วมกับผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
รูปแบบที่ ๕ โรงเรียนใช้ ICT เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ดร.อธิปัตย์ คลี่สุนทร เป็นผู้รับผิดชอบประสานการดำเนินการร่วมกับเครือข่ายมหาวิทยาลัย ๕ แห่ง
โรงเรียนรูปแบบใหม่ทั้ง ๕ นี้ คือ รูปแบบของความแตกต่างหลากหลายที่กำลังเริ่มต้นและจะเบ่งบานขยายออกไปเต็มแผ่นดิน สอดคล้องกับความต้องการของสังคมและประเทศชาติในด้านต่าง ๆ โดยจุดเน้นของนวัตกรรมการศึกษาจะต่างกัน ได้แก่
โรงเรียนในกำกับของรัฐ มีจุดเน้นที่การบริหารจัดการแบบเอกชนที่คล่องตัว
โรงเรียนวิถีพุทธ มีจุดเน้นที่จิตวิญญาณ เป็นการเรียนรู้รากเหง้าของภูมิปัญญาไทย คือ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาอันทรงคุณค่า ให้ผสมผสานกับการปฏิรูปการเรียนรู้
โรงเรียนสองภาษา มีจุดเน้นที่การใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้เป็นต้น
การดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ
ดร.ไพรัช สู่แสนสุขดร.บรรเจอดพร สู่แสนสุข
โรงเรียนวิถีพุทธ
คือ โรงเรียนระบบปกติทั่วไปที่นำหลักธรรมพระพุทธศาสนามาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหารและการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขา อย่างบูรณาการ
รูปแบบโรงเรียนวิถีพุทธ จุดเน้น โรงเรียนวิถีพุทธดำเนินการพัฒนาผู้เรียนโดยใช้หลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างบูรณาการ ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการพัฒนา “การกิน อยู่ ดู ฟัง เป็น ” คือ มีปัญญารู้เข้าใจในทางคุณค่าแท้ใช้กระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญา และมีวัฒนธรรมเมตตา เป็นฐานการดำเนินชีวิตโดยมีผู้บริหารและคณะครูเป็นกัลยาณมิตรการพัฒนา
ลักษณะโรงเรียนวิถีพุทธ เน้นการจัดสภาพทุก ๆ ด้าน เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนพัฒนาตามหลักพุทธธรรมอย่างบูรณาการที่ส่งเสริมให้เกิดความเจริญงอกงามตามลักษณะแห่งปัญญาวุฒิธรรม ๔ ประการ คือ
๑. สัปปุริสสังเสวะ หมายถึงการอยู่ใกล้คนดี ใกล้ผู้รู้ มีครู อาจารย์ดี มีข้อมูล มีสื่อที่ดี
๒. สัทธัมมัสสวนะ หมายถึง เอาใจใส่ศึกษาโดยมีหลักสูตร การเรียนการสอนที่ดี
๓. โยนิโสมนสิการ หมายถึง มีกระบวนการคิดวิเคราะห์พิจารณาหาเหตุผลที่ดีและถูกวิธี
๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ หมายถึง ความสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตได้ถูกต้องเหมาะสม
ห้องเรียน แหล่งเรียนรู้ สภาพแวดล้อม เป็นต้น ด้านกิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต เช่น กิจกรรมประจำวัน กิจกรรมวันสำคัญ กิจกรรมนักเรียนต่าง ๆ ด้านการเรียนการสอน เริ่มตั้งแต่การกำหนดหลักสูตรสถานศึกษา การจัดหน่วยการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ จนถึงกระบวนการเรียนการสอน ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ในการปฏิบัติต่อกันระหว่างครูกับนักเรียน นักเรียนกับนักเรียน หรือครูกับครู เป็นต้น และ ด้านการบริหารจัดการ ตั้งแต่การกำหนดวิสัยทัศน์ จุดเน้น การกำหนดแผนปฏิบัติการ การสนับสนุน ติดตาม ประเมินผล และพัฒนาต่อเนื่อง ซึ่งการจัดสภาพในแต่ละด้านจะมุ่งเพื่อให้การพัฒนานักเรียนตามระบบไตรสิกขาดำเนินได้อย่างชัดเจนมีประสิทธิภาพ ดังเช่น การจัดด้าน การจัดสภาพของโรงเรียนวิถีพุทธ ประกอบด้วย ด้านกายภาพ คือ อาคารสถานที่ กายภาพ ควรเป็นธรรมชาติ สภาพชวนให้มีจิตใจสงบ ส่งเสริมปัญญา กระตุ้นการพัฒนาศรัทธา และศีลธรรม กิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิต กระตุ้นให้การกิน อยู่ ดู ฟัง ดำเนินด้วยสติสัมปชัญญะเป็นไปตามคุณค่าแท้ ด้านการเรียนการสอน บูรณาการพุทธธรรมในการจัดการเรียนรู้ชัดเจน ด้านบรรยากาศและปฏิสัมพันธ์ เอื้ออาทร เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ส่งเสริมทั้งวัฒนธรรมเมตตา และวัฒนธรรมแสวงปัญญา เป็นต้น
การบริหารจัดการโรงเรียนวิถีพุทธ
มีขั้นตอนสำคัญ เช่น การเตรียมการ เตรียมทั้งบุคลากร ผู้เกี่ยวข้อง แผนงาน ทรัพยากร ที่มุ่งเน้นสร้างศรัทธาและฉันทะในการพัฒนา การดำเนินการจัดสภาพและองค์ประกอบต่างๆ ที่จัดเพื่อส่งเสริม ให้เกิดความเจริญงอกงามหรือปัญญาวุฒิธรรม ในการพัฒนาผู้เรียน การดำเนินการพัฒนาทั้งผู้เรียนและบุคลากร ตามระบบไตรสิกขาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้สภาพและ องค์ประกอบที่จัดไว้ข้างต้น ขั้นต่อมา คือ การดูแลสนับสนุน ใกล้ชิด ด้วยท่าทีของความเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ที่จะทำให้การพัฒนานักเรียนและงาน ดำเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อจากนั้น มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอิทธิบาท 4 และหลักอุปัญญาตธรรม คือ ความไม่สันโดษในกุศลธรรม และความไม่ระย่อในการพากเพียร เป็นต้น ขั้นสุดท้ายของกระบวนการบริหารแต่เป็นฐานสู่การพัฒนาในลำดับต่อไป คือ ขั้นประเมินผลและเผยแพร่ผลการดำเนินงาน
ลักษณะการเกื้อกูลสัมพันธ์ โรงเรียนวิถีพุทธและชุมชน
จะมีลักษณะของการร่วมมือ ทั้งสถานศึกษา บ้าน วัด และสถาบันต่างๆในชุมชน ด้วยศรัทธาและฉันทะ ที่จะพัฒนาทั้งนักเรียน และสังคม ตามวิถีแห่งพุทธธรรม เพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน
การพัฒนาบุคลากรและคุณลักษณะบุคลากร การพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธแม้จะยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่บุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารและครู มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นปัจจัย ให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างดี ทั้งการเป็นผู้จัดการเรียนรู้ และการเป็นแบบอย่างที่ดีในวิถีชีวิตจริง ในลักษณะ สอนให้รู้ ทำให้ดู อยู่ให้เห็น การพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษามีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องหลากหลายวิธีการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากรมีคุณลักษณะที่ดีตามวิถีพุทธ เช่น ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และพัฒนาตนให้ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ละ เลิกอบายมุข การถือศีล 5 เป็นนิจ ความเป็นกัลยาณมิตรต่อศิษย์ และการเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นต้น
การดำเนินการในระยะแรกของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ เดือนพฤษภาคม 2546 มีโรงเรียนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการประมาณ 80 โรงเรียน มีทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ
ก้าวสู่...การพัฒนาโรงเรียนวิถีพุทธ
คงยากที่จะปฏิเสธแล้วว่า ในแวดวงโรงเรียน หรือคุณครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะไม่เคยได้ยินคำว่า โรงเรียนวิถีพุทธ หากหมายรวมเลยไปถึงพระภิกษุ สามเณร พระเถรานุเถระ ล้วนเคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน บทความเกี่ยวกับโรงเรียนวิถีพุทธอยู่บ้าง มีหลายท่านทราบความเป็นมาโดยตลอด หลายท่านอาจยังมีข้อมูลไม่ชัดเจน ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสดีอีกวาระหนึ่งที่จะสื่อสารให้ทราบกันในทุกพื้นที่ว่า หากสนใจรายละเอียดและจะร่วมโครงการต้องเริ่มต้นอย่างไร ใครจะให้คำตอบได้บ้าง
ขอเริ่มต้นที่ความหมาย กล่าวคือ โรงเรียนวิถีพุทธ เป็นโรงเรียนระบบปกติทั่วไป ที่นำหลักธรรมใน พระพุทธศาสนามาใช้หรือประยุกต์ใช้ในการบริหาร และการพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา เน้นกรอบการพัฒนาตามหลักไตรสิกขาอย่างบูรณาการ ผู้เรียนได้เรียนรู้ได้พัฒนาการกิน อยู่ ดู ฟัง ให้เป็น โดยผ่านกระบวนการทางวัฒนธรรมแสวงปัญญาและมีวัฒนธรรมเมตตา เป็นฐานการดำเนินชีวิต
กระทรวงศึกษาธิการได้รับใบสมัครของโรงเรียนที่สนใจ เข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธเป็นจำนวนมาก ทั้งโรงเรียนของภาครัฐ เอกชน กระจายอยู่เกือบทุกจังหวัด และได้จัดปฐมนิเทศ เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ
หลักสำคัญของการสมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธคือ “ฉันทะ” หมายถึง รัก พึงพอใจยินดีที่จะเข้าร่วมโครงการ จึงจำเป็นต้องให้มีการสมัครเพื่อแสดงถึงเจตนาของโรงเรียน เพราะเชื่อว่าหากโรงเรียนสมัครใจที่จะสร้างคนดี มีปัญญา มีความรู้ สมดังเจตนารมณ์ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว แม้ว่าโรงเรียน ครูจะยังมีพื้นฐานความรู้ด้านพุทธศาสตร์ไม่มากนัก แต่มีความรักสมัครใจก็สามารถดำเนินการโรงเรียนวิถีพุทธอย่างมีประสิทธิภาพได้
เมื่อผ่านการสมัครใจแล้ว สิ่งสำคัญอันดับต่อมาคือ การประชุมปฐมนิเทศ เพื่อให้มีความรู้เบื้องต้นอันเป็นพื้นฐานนำไปปรับดำเนินการให้เข้ากับศักยภาพของโรงเรียน ดังนั้นการประชุมปฐมนิเทศจึงจำเป็นต้องให้ผู้มีบทบาทหลักของโรงเรียนเข้าปฐมนิเทศด้วยตนเองโดยไม่ให้ส่งผู้แทน การปฐมนิเทศจึงได้เชิญ ผู้บริหารโรงเรียนและประธานคณะกรรมการสถานศึกษา หากมีงบประมาณเพียงพออาจเชิญมากกว่า 2 ท่านนี้ก็ย่อมทำได้ ซึ่งสถานที่และกระบวนการจัดประชุมจะเน้นบรรยากาศการกิน อยู่ง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย โน้มน้าวจิตใจสู่การปฏิบัติอย่างวิถีพุทธ โดยพยายามเลือกสถานที่ในลักษณะเป็นวัด วัดป่า พุทธมณฑลหรือพุทธสถานต่างๆ และหอประชุมโรงเรียนเป็นต้น ในการประชุมปฐมนิเทศ วันแรก ได้นิมนต์พระเถรานุเถระชั้นผู้ใหญ่ให้มาบรรยายลักษณะหัวเรื่อง “พุทธปรัชญา สู่โรงเรียนวิถีพุทธ” เพื่อเสริมปัญญาและเป็นสิริมงคลแก่การประชุมที่จะเริ่มต้นเข้าโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ต่อจากนั้นจะเป็นการขยายความแนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งการอธิบายขยายความนี้จะใช้เอกสารเล่มสีม่วง “แนวทางการดำเนินงานโรงเรียนวิถีพุทธ” เป็นเอกสารหลัก เพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียน และคณะกรรมการสถานศึกษาได้เห็นความสำคัญ อีกทั้งเข้าใจแนวการดำเนินงานเชิงหลักการและทิศทางกว้าง ๆ พร้อมที่จะให้โรงเรียนไปปรับพัฒนาตามศักยภาพของโรงเรียน เช่น ในเรื่อง การจัดสภาพแวดล้อมให้ ใกล้ชิดธรรมชาติ ชวนให้ใจสงบ สว่างด้วยปัญญา มีกิจกรรมพื้นฐานชีวิต และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้งด้านพฤติกรรม จิตใจและปัญญาที่บูรณาการไตรสิกขา เน้นการ กิน อยู่ ดู ฟัง ด้วยสติสัมปชัญญะ รู้คุณค่าแท้ มีการส่งเสริมวัฒนธรรมแสวงปัญญา มีบรรยากาศกัลยาณมิตรต่อกัน ทั้งผู้บริหาร ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน นำพานักเรียนเกิดการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวมสู่ชีวิตที่สมบูรณ์
หลังจาก 2 หัวข้อแรกผ่านไป ซึ่งจะทำให้ได้รับทราบกรอบการดำเนินงานแล้ว ก็เป็นวาระที่จะได้ฟังผู้ที่ปฏิบัติจริง จึงเป็นหัวข้อที่ เชิญผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธมาเล่าประสบการณ์ ปัญหา อุปสรรค แนวทางแก้ไข และเทคนิคพิเศษต่างๆ ที่ได้จัดทำโรงเรียนวิถีพุทธ ในช่วงเวลานี้อาจใช้รูปแบบการอภิปราย มีผู้ดำเนินรายการและผู้บริหารโรงเรียน/ผู้แทน 2-3 โรงเรียน ในช่วงท้ายจะเปิดโอกาสให้พูดคุยซักถามได้ด้วย
หัวข้อสุดท้ายของการประชุมวันแรก จะเป็นการเตรียมการเพื่อประชุมวันที่สอง กล่าวคือ วันที่สองจะเป็นการให้ประสบการณ์ตรงแก่ผู้เข้าประชุม เพื่อให้เห็นภาพจริงหลังจากที่ฟังกรอบการดำเนินงาน ฟังผู้ที่ปฏิบัติจริงเล่าการดำเนินงานแล้วในวันแรก วันที่สองจึงเป็นวันไปดูของจริง โดยอาจเลือกสถานที่ดูงานโรงเรียนวิถีพุทธ 2-3 โรงเรียนที่ได้คัดเลือกแล้วว่าจะเป็นตัวอย่างได้ เพื่อให้เห็นกับตาว่าเมื่อลงมือปฏิบัติจะเป็นอย่างไร ให้ผู้เข้าประชุมได้คุยกับครู / นักเรียน ให้ได้เห็นสภาพการจัดบรรยากาศโรงเรียน ได้ดูกิจกรรมพื้นฐานชีวิตที่ว่าบูรณาการทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นทำได้อย่างไร ในวันที่สองนี้จึงเหมาะกับคำพังเพยที่ว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ดังนั้น ก่อนจะไปเห็นด้วยตาจึงให้มีการหารือ แบ่งกลุ่ม วางแผน เตรียมคำถาม เตรียมเก็บข้อมูล เตรียมเก็บภาพ ฯลฯ และที่สำคัญหลังจากที่ทุกคนกลับจากดูงานมาแล้ว เตรียมนำเสนอให้กลุ่มที่เลือกสถานที่ดูงานต่างกันทราบ จะได้รับรู้ข้อมูลที่กว้างขวางด้วย
วันที่สามของการประชุม จะเป็นช่วงของการวางแผนปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์ โดยก่อนหน้าการวางแผนอาจจัดให้มีผู้มี ประสบการณ์ในการพัฒนาชีวิตหรือการพัฒนาองค์กรในวิถีพุทธ มาให้ข้อคิดเพิ่มเติม และผนวกกับการได้ศึกษาดูงานที่ได้ประสบการณ์ “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ไปแล้ว จะนำมาสู่การวางแผนปฏิบัติงานอย่างสร้างสรรค์ โดยหารือร่วมกันกับกรรมการสถานศึกษาที่มาประชุมด้วยกันนั้น หลังจากหารือวางแผนเบื้องต้นแล้วก็ทดลองเสนอให้เพื่อนผู้บริหารในที่ประชุมฟัง พร้อมทั้งฟังแผนการดำเนินงานของโรงเรียนอื่น ๆ ลักษณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน ในที่สุดก็กลับมาทบทวนพิจารณา ปรับแผนโรงเรียนวิถีพุทธของตนเองให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารโรงเรียนได้แผนเบื้องต้นกลับไปโรงเรียน เพื่อไปสู่การหารือรายละเอียด และตัดสินใจร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องที่โรงเรียนต่อไป
เป็นอันว่าเมื่อการประชุมครบ 3 วัน ซึ่งเต็มไปด้วยความเข้าใจ อิ่มเอมใจ และมุ่งมั่น เพราะผู้เข้าร่วมประชุมได้ฟังทั้งเชิงสาระ แนวดำเนินการ ได้รับประสบการณ์ตรงจากการฟัง ซักถาม และการไปศึกษาดูงานโรงเรียนวิถีพุทธ อีกทั้งได้มีแผนการปฏิบัติถือติดมือกลับไป เมื่อไปถึงโรงเรียนก็อาจเชิญประชุมคณะครูผู้เกี่ยวข้องเพื่อเริ่มลงมือปฏิบัติการได้อย่างชัดเจน เพื่อให้โรงเรียนที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ได้มีแหล่งข้อมูลที่ใกล้ตัว สำนักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา (สนก.) สพฐ. จึงได้เชิญผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ ทั้ง 175 เขตพื้นที่การศึกษา เข้าร่วมรับทราบแนวการดำเนินงาน การประสานงาน การสนับสนุน ส่งเสริม ให้โรงเรียนดำเนินการ และการเผยแพร่ข้อมูล การบริหารเครือข่าย และขยายผลโรงเรียนวิถีพุทธ ดังนั้นขณะนี้จึงมีผู้รับผิดชอบโรงเรียนวิถีพุทธอยู่ในทุกเขตพื้นที่การศึกษา
ก้าวย่างที่งดงามของโรงเรียนวิถีพุทธ เป็นอีกความหวังที่ยิ่งใหญ่ของผู้ปกครองและชุมชนในอันที่จะสานฝันให้เด็กและเยาวชนเติบโตอย่างมีคุณธรรม มีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ช่วยสร้างสังคมที่ดี สงบและสันติ ดังคำกล่าวของพระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตโต) ที่ว่า…
“…..โรงเรียนวิถีพุทธจะเดินหน้าต่อไปอย่างมีพลัง ในการที่จะสร้างสรรค์อนาคตของชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกทั้งหมด ให้เป็นวิถีแห่งสันติสุขที่ยั่งยืนสืบไป ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น